Categories
News

เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร

เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร เครื่องดูดไขมันมีทั้งพลังความร้อน พลังงานน้ำ แถมมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อเต็มไปหมด แล้วแบบไหนล่ะที่ดีที่สุดก่อนตัดสินใจครับ
“ทำความรู้จักวิธีดูดไขมัน เครื่องดูดไขมัน และความแตกต่างของพลังงาน”

ไขมันในร่างกายจะแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันนะครับ คือไขมันที่ใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และไขมันที่อยู่ในช่องท้อง (Visceral Fat) ไขมันใต้ชั้นผิวหนังนั้น เป็นไขมันที่จะกำหนดรูปร่างของเราว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งไขมันในส่วนนี้ เป็นไขมันที่เราจะดูดออกมานั่นเอง ส่วนไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่อยู่รอบ ๆ อวัยวะภายใน ที่จะไม่สามารถดูดออกมาได้

ก่อนการดูดไขมัน หมอจะมีการวัดมวลไขมันในร่างกาย โดยจะวัดปริมาณรวมของไขมันทั้งหมด แต่ไขมันที่จะถูกดูดออกมาคือไขมันใต้ชั้นผิวหนังเท่านั้น เซลล์ไขมันจะมีลักษณะเป็นก้อนเม็ดกลม ๆ ขนาดเล็กประมาณ 0.1 มิลลิเมตร ยึดติดกันเหมือนพวงองุ่น โดยจะมีเส้นใยพังผืดทำหน้าที่ยึดเซลล์ไขมันไว้ด้วยกันครับ
นวัตกรรมการดูดไขมันถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการผสมผสาน นำพลังงานและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการดูดไขมัน เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป เครื่องดูดไขมันบางเครื่องเหมาะสำหรับการดูดไขมันในจุดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น…
– ดูดไขมันต้นขา
– ดูดไขมันต้นแขน
– ดูดไขมันเอวเอส
– ดูดไขมันหน้าท้อง
– หรือดูดไขมันได้ในเฉพาะบริเวณที่มีไขมันน้อย มีพื้นที่น้อย

คำถามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูดไขมันเจ็บไหม ดูดไขมันอันตรายไหม ดูดไขมันพักฟื้นกี่วัน ฯลฯ ล้วนประกอบด้วยหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ตัวแพทย์ เทคนิคแพทย์ เครื่องดูดไขมัน วิธีที่ใช้ในการดูดไขมันครับ

ซึ่งวิธีการดูดไขมันในปัจจุบันมีทั้ง 5 เทคนิคด้วยกันที่ทุกคนควรรู้จัก คือ
1. การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction)
2. การดูดไขมันด้วยการใช้ท่อธรรมดา (SAL : Suction-Assisted Liposuction)
3. การดูดไขมันด้วยพลังงานกล (PAL : Power-Assisted Liposuction)
4. การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasonic Liposuction)
5. การดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ (Water Jet Assisted Liposuction)
ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละวิธีแตกต่างกันอย่างไร แล้วใช้เครื่องดูดไขมันประเภทไหน มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง เราไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยครับ

การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction)
การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction หรือ Manual Liposuction) เป็นการดูดไขมันที่อาศัยแรงมือของแพทย์เพียงอย่างเดียว โดยแพทย์จะสอดเข็มเข้าไปที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังแล้วใช้แรงมือกระทุ้งให้ไขมันแตกตัวออกจากกัน จากนั้นจึงใช้ไซริ้งค์ (Syringe) ดูดไขมันออกมา

ด้วยวิธีการดูดไขมันที่ใช้แรงกระแทกนี้ จะทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบ เส้นเลือดและเส้นประสาทข้างเคียงได้รับความเสียหาย ทำให้ระหว่างที่ทำการดูดไขมันคนไข้จะรู้สึกเจ็บปวดมาก หลังทำมีอาการบวมมาก มีรอยฟกช้ำมากนั่นเอง

ข้อดีของการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

– ดูดไขมันได้ดี ในบริเวณจุดเล็ก ๆ เช่นเหนียง
ข้อเสียของการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
– ดูดไขมันได้น้อย และใช้ระยะเวลานาน
– ไม่สามารถดูดไขมันในตำแหน่งที่มีพังผืดติดมาก ๆ ได้

การดูดไขมันด้วยการใช้ท่อธรรมดา (SAL : Suction-Assisted Liposuction)
เริ่มมาจากแนวคิดที่ว่า ดูดไขมันอย่างไรให้ได้ปริมาณเยอะขึ้น ใช้ระยะเวลาน้อยลง ในระหว่างทำคนไข้ไม่รู้สึกเจ็บ และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นประสาทข้างเคียง หลังทำไม่มีการบอบช้ำมาก จึงเริ่มมีการคิดค้นการฉีดน้ำยาที่ประกอบไปด้วยยาชาและยาที่ทำให้เส้นเลือดหดตัวเข้าไปก่อนการดูดไขมัน (เพื่อลดความเจ็บปวดและอาการบอบช้ำหลังดูดไขมันให้กับคนไข้) ไปพร้อม ๆ ไปกับการนำท่อที่มีแรงดูดสุญญากาศมาใช้ในการดูดไขมันครับ

การดูดไขมันแบบ SAL นี้ แพทย์จะฉีดน้ำยาเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นจะสอดท่อที่มีแรงดูดสุญญากาศเข้าไป พร้อมใช้แรงมือกระแทกให้เซลล์ไขมันแตกตัวแยกออกจากกัน ในระหว่างที่แพทย์ใช้แรงกระแทกนั้น เซลล์ไขมันที่แตกตัวออกมาแล้ว ก็จะถูกเครื่องดูด ดูดออกมาโดยอัตโนมัติ

เมื่อการดูดไขมันออกมาจากร่างกาย ทำให้เกิดช่องว่างภายใต้ผิว และเป็นผลให้เกิดความย้วยของผิวหนัง ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในการดูดไขมันในแบบที่สามารถกระชับผิวหนังได้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งวิธีนี้ยังคงเป็นการดูดไขมันด้วยการใช้ท่อธรรมดา หรือ SAL อยู่ แต่มีการนำพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF : Radio frequency) เข้ามาช่วยในการยกกระชับผิวนั้นเอง
การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ

การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุนี้ ใช้หลักการเดียวกันกับ SAL คือแพทย์จะฉีดน้ำยาเข้าไป พร้อมนำท่อสุญญากาศเข้าไปกระทุ้งทำให้ไขมันแตกตัว และดูดออกมาอัตโนมัติ หลังการดูดไขมันจะมีการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุในระดับอุณหภูมิความร้อนที่ช่วยให้ผิวหนังเริ่มกระชับหดตัวในระยะเวลา 3 – 6 เดือน ดังนั้น จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นเครื่องดูดไขมันกระชับผิวนั่นเอง ซึ่งเครื่องดูดไขมันที่ใช้หลักการสลายไขมันแบบนี้คือ เครื่องดูดไขมัน BODYtite Pro

การดูดไขมันด้วยเลเซอร์
การดูดไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Diode Liposuction, Laser-Assisted Liposuction) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้ผิวหลังดูดไขมันกระชับตัวขึ้นได้ การดูดไขมันด้วยเลเซอร์ เป็นการนำเลเซอร์มาช่วยในการผลิตพลังงานความร้อน ซึ่งเลเซอร์จะสามารถผลิตพลังงานความร้อนได้ที่ระดับอุณหภูมิ 40 – 60 องศาเซลเซียส ด้วยความที่มีอุณภูมิที่ไม่สูงมาก จึงมีข้อเสียคือใช้ระยะเวลาในการรักษานาน เห็นผลช้า ดูดออกมาได้น้อย แต่มีความปลอดภัยสูง

และนวัตกรรมในการดูดไขมันพร้อมยกกระชับผิวอีกวิธีหนึ่ง นอกจากการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุและเลเซอร์นั้น คือการใช้พลังงานพลาสมา (Plasma-Assisted Liposuction) หรือ J Plasma ในการสร้างพลังงานความร้อนสูงถึง 85 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิที่สามารถทำให้เนื้อเยื่อภายใต้ผิวกระชับหดตัวลงได้ในทันที

หลังจากใช้พลังงานพลาสมาส่งตรงเข้าไปยังเส้นใยเนื้อเยื่อ ผิวจะกระชับหดตัวลงทันที โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อและเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง และเห็นผลชัดภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
ข้อดีของการดูดไขมันแบบ SAL
-สามารถทำลายเซลล์ไขมัน ได้อย่างเฉพาะเจาะจง
-ผิวหลังทำจะเรียบ ไม่เป็นโพรง ไม่เป็นคลื่น ไม่เป็นผิวเปลือกส้ม
-ดูดไขมันได้ปริมาณที่มากกว่าการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
ข้อเสียของการดูดไขมันแบบ SAL
-สลายไขมันได้น้อย ทำให้ปริมาณไขมันที่ดูดออกมาได้น้อย
-คนไข้อาจมีอาการเสียเลือดมาก
-ไม่เหมาะกับการดูดไขมันในตำแหน่งที่มีปริมาณไขมันมาก
-เนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นประสาทข้างเคียงได้รับผลกระทบมาก
-อาจอยู่ในสภาวะเสียเลือดมาก
-มีรอยฟกช้ำตามตัว บอบช้ำมาก บวมมาก
-ใช้เวลาพักฟื้นนาน
-เกิดปัญหาผิวเป็นคลื่น ลอน ไม่เรียบเนียน

การดูดไขมันด้วยพลังงานกล (PAL : POWER-ASSISTED LIPOSUCTION)
การดูดไขมันด้วยพลังงานกล (เครื่องดูดไขมัน Microaire) เป็นการเพิ่มความถี่ของการขยับเข็มดูดไขมัน จนเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนทำให้ไขมันแตกตัว การดูดไขมันด้วยวิธีนี้จะทำให้ดูดไขมันออกมาได้ในปริมาณมาก และลดการเสียดสีของผิวหนัง และเนื้อเยื่อข้างเคียงครับ นอกจากนี้การสายไขมันด้วยวิธีนี้ยังช่วยสร้างมิติให้กับรูปร่างได้อย่างสวยงามยิ่งขึ้นด้วยครับ อย่างเราหมอจะนำมาใช้ในการสร้างร่องหน้าท้อง ทำ Sexy line และเหลาเอวเอส เป็นต้นครับ

ข้อดีของการดูดไขมันด้วยพลังงานกล
-ดูดไขมันได้เยอะ ในระยะเวลาสั้น ๆ
-ไม่เกิดความร้อนในระหว่างดูดไขมัน ผิวไม่ Burn
-ใช้ทำร่อง 11 หรือ Sexy line ออกมาได้อย่างคมชัด
-เก็บไขมันได้ละเอียดแม้ในตำแหน่งที่เข้าถึงยาก เช่น แผ่นหลัง, หนอก, หน้าท้องด้านบน หรือน่อง
-สามารถใช้ร่วมกับเครื่องดูดไขมันชนิดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยพลังงานกล
-ในขณะที่เครื่องทำงาน จะมีเสียงดังมาก
-ไม่สามารถดูดไขมันในบริเวณที่มีผังพืดได้
-มีโอกาสเสียเลือดมาก
-ไม่เหมาะกับบริเวณที่มีไขมันปริมาณมาก
-หลังดูดไขมันคนไข้จะมีอาการบวมมาก บอบช้ำมาก มีรอยฟกช้ำตามตัว
-เกิดปัญหาผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบ
-ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน

การดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasonic Liposuction)
การใช้พลังงานความร้อน จากพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) มาช่วยในการดูดไขมัน เครื่องมือชนิดนี้จะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงในระดับความถี่ที่มีปฏิกิริยากับเซลล์ไขมัน และมีความร้อนพอที่จะทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวเหลว และกลายเป็นน้ำได้ ก่อนที่แพทย์จะทำการดูดออกมา

แพทย์ที่ทำการรักษาจะต้องมีความเชี่ยวชาญสูง เพราะถ้าหากแพทย์ที่ทำการรักษาไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจจะทำให้ท่อพลังงานสัมผัสกับผิวหนังคนไข้จนทำให้เกิดการเผาไหม้ทันที คนไข้อาจมีแผลพุพองได้ครับ เครื่องพลังงานนี้ที่เรารู้จักกันคือ เครื่อง Vaser Smooth 2.2 และเครื่อง Ultra Z นั่นเอง

ข้อดีของการดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์
-สามารถดูดไขมันได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย
-สามารถดูดไขมันปริมาณมาก ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
-อาการเจ็บปวดจากการดูดไขมัน และรอยฟกช้ำหลังดูดไขมันน้อยกว่าการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
-ใช้ระยะเวลาในการดูดไขมัน ไม่นาน

ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์
-หากท่อที่ปล่อยพลังงานสัมผัสกับผิว จะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ผิวได้
-เนื้อเยื่อ เส้นเลือด และเส้นประสาทอาจได้รับผลกระทบได้
-มีอาการบอบช้ำ บวม และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน
-มีความเจ็บปวดในระหว่างการรักษา
-ไขมันที่ดูดออกมาไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เพราะเซลล์ไขมันได้สลาย ตายไปแล้ว
-ผิวหนังหลังดูดไขมันอาจจะเป็นคลื่น หรือคล้ายผิวเปลือกส้มได้บ้าง
การดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ (Water Jet Assisted Liposuction)
เทคโนโลยีในการดูดไขมันที่ใหม่ที่สุด และอ่อนโยนที่สุด คือการดูดไขมันโดยใช้พลังงานน้ำ ซึ่งมีหลักการคือ “ดูดไขมันอย่างไร โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ” เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ หรือ Body-jet (ชื่อทางการค้า) เป็นนวัตกรรมใหม่จากประเทศเยอรมันนี

เครื่องดูดไขมันพลังน้ำนี้ จะใช้แรงดันน้ำในการอัดน้ำที่ประกอบด้วยยาชาและยาที่ทำให้เส้นเลือดหดตัวเข้าไปที่ชั้นไขมัน เพื่อให้เซลล์ไขมันที่เกาะติดกันเป็นพวงองุ่นแตกตัวกันออกมาอย่างอ่อนโยน ไขมันที่ถูกดูดออกมาจะอยู่ในสภาพดี มีชีวิตอยู่ สามารถนำไปเติมเต็มส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริเวณที่เติมไขมันได้
-เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก บนใบหน้า ให้ใบหน้าดูอวบอิ่ม เต่งตึงยิ่งขึ้น
-เติมไขมันหน้าเด็ก เติมทั่วทั้งใบหน้า
-ฉีดไขมันหน้าอก เพิ่มคัพ เพิ่มเนินให้อึ๋ม
-เติมไขมันหลังมือ ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
-ฉีดไขมันสะโพก เติมก้นเด้ง
-เติมไขมันน้องสาว เพิ่มโหนกนูน อวบอูม

ข้อดีของการดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ
-ไขมันที่ถูกดูดออกมาสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่นการเติมเต็มจุดบกพร่องบนใบหน้าและร่างกาย สามารถนำมาปั่นเป็น Stemcell เพื่อเติมเต็มให้ผิวสว่างใสขึ้นได้
-คนไข้รู้สึกเจ็บปวดน้อย ในระหว่างที่ทำการดูดไขมัน
-หลังดูดไขมันคนไข้จะมีอาการบอบช้ำน้อย
-ไม่ต้องพักฟื้น หลังจากดูดไขมันเสร็จแล้ว สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตประวันตามปกติได้เลย
-แผลมีขนาดเล็ก ลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น และแผลคีลอยด์
-ผิวเรียบเนียน ไม่เป็นคลื่น หลังดูดไขมัน
-สามารถดูดไขมันได้ทุกสัดส่วนในร่างกาย

ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ
-ใช้ระยะเวลาในการดูดไขมันนานกว่าปกติ โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 ชั่วโมงต่อเคส (ขึ้นอยู่กับสัดส่วนและปริมาณไขมันของคนไข้แต่ละบุคคล)
-สัดส่วนของคนไข้จะยังไม่เข้ารูปทันทีที่ทำ ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ – 1 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น